top of page

ทุกเรื่องราวของการท่องเที่ยว

โดย Signature Travel Asia

Review ทริปประทับใจ

แนะนำทัวร์น่าสนใจ

ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว

แนะนำโปรโมชั่น

เม็กซิโกโรแมนติก: ตอนที่ 1 เม็กซิโกซิตี้ มหานครแห่งสองจักรวรรดิ์

สวัสดีครับ Signature Travel Asia มีเรื่องราวพิเศษจากแดนไกลในทวีปอเมริกาเหนือ

Mexico City กลายมาเป็นเมืองสุดโปรดของผู้เขียนได้ตั้งแต่แรกพบเลยทีเดียว เมืองนี้คือความสวยสง่า หรูหราโอ่อ่าด้วยศิลปะบารอก (Baroque) ในแบบเดียวกับเมืองในยุโรป แต่งแต้มเพิ่มเติมด้วยสีสันจัดจ้านเผ็ดร้อนในแบบชาวลาติน ลดความดำทะมึน ประกอบเข้าไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะชาว Mayan และ Aztec ทำให้เม็กซิโกซิตี้ 'มีสไตล์เป็นของตัวเอง' ได้อย่างชัดเจนเข้มข้น

เสียงดนตรี Mexican Folk และ เพลง Classic ก็ลอยมาแตะหูตลอดเวลา มันคือเมืองแห่งผู้คน ศิลปะและเสียงเพลงจริงๆ คนเม็กซิกันยุคใหม่เองก็ชอบงานศิลปะอย่างแรงกล้า ศิลปะร่วมสมัยในเม็กซิโกก็โดดเด่นมากทีเดียว ใครรักงานศิลป์ มีความสุขแน่นอน

แน่นอนว่าเม็กซิโกเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นที่เที่ยวยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวเอเชียอย่างเราๆ ทั้งจากระยะทางที่ไกลโพ้นถึงอีกฟากฝั่งของโลก ค่าเดินทางที่สูง รวมทั้งข่าวคราวถึงปัญหาทางด้านความปลอดภัย ปัญหาสงครามยาเสพย์ติด มาเฟีย อาชญากรรมและการค้ามนุษย์ที่เรารับรู้จากสื่อต่างๆ

แต่จริงๆ แล้วเม็กซิโกเป็นอย่างไรบ้าง? ปลอดภัยมั้ย สวยมั้ย น่าเที่ยวมั้ย ตามมาดูกันเลยนะครับ

ผู้เขียนเดินทางไปหลายเมืองในภาคกลางของเม็กซิโก จึงจะขอแบ่งเป็นตอนๆ ตามแต่ละเมืองนะครับ เริ่มต้นตอนแรกกันที่เมืองหลวงกันเลย ก่อนจะพาเที่ยว ขอเล่าความเป็นมาเบื้องต้นก่อนนะครับ

Mexico City หรือ Ciudad de Mexico มหานครขนาดมหึมาแห่งซีกโลกตะวันตก มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 20 ล้านคน ทำให้เม็กซิโกซิตี้เป็นหนึ่งใน Top Ten เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

ภาพจากท้องฟ้า บริเวณชานเมืองของเม็กซิโกซิตี้ ตอนนั่งเครื่องบินเข้ามา ฝนกำลังตกหนักและหมอกลงจัดเลย ดูเป็นเมืองที่หนาแน่นแออัด ทว่าโครงสร้างผังเมืองสวยและมีระเบียบเชียว

Outskirt, Mexico City

เป็นเมืองที่ตำรวจและทหารหนาแน่นมาก และอยู่ในสภาพอาวุธครบมือ แต่เท่าที่ดูแล้ว ตำรวจอยู่ในชุดสลายชุมนุม น่าจะเป็นเรื่องการประท้วงเสียมากกว่าป้องกันอาชญากรรม เพราะมีตำรวจผู้หญิงเยอะมากๆ น่าจะเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชนจากนักประท้วงสาวๆ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผู้เขียนอยู่ในเมืองนี้ รู้สึกปลอดภัยมากกว่าเมืองใหญ่ในยุโรป หรืออเมริกา และไม่มีโก่งราคาหลอกนักท่องเที่ยวแบบหลายประเทศในเอเชีย ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย

ตำรวจและทหารหน้า Palacio Nacional

กลุ่มนี้มาเป็นคันรถ

สภาพอากาศ

เม็กซิโกซิตี้ สูงจากน้ำทะเล 2,250-3,930 เมตร อากาศเย็น-หนาวตลอดปี ถึงแม้จะมีอากาศแห้งและแดดจัด แต่เย็นสบายแน่นอน

คนที่นี่ไม่นิยมใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งในโรงแรม รถแท็กซี่ สถานีรถไฟฟ้า หรือที่ต่างๆ ใครจะมาเที่ยวแล้วพบว่าโรงแรมไม่ค่อยมีแอร์กันเลยก็ไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ ส่วนใครมาฤดูหนาว มองหาโรงแรมที่มีฮีตเตอร์ก็จะทำให้นอนหลับได้สบายขึ้นครับ

ผู้เขียนเดินทางในเดือนเมษายน อากาศอยู่ในช่วง 12-25 องศา ใครมาเดือนนี้ก็ติดเสื้อกันหนาวสักตัว หนัก-เบาตามความสะดวกของแต่ละคนนะครับ

ช่วงอากาศออกจะกว้าง อากาศจะเย็นมากในช่วงเช้า และอากาศสบายๆ ในช่วงกลางวัน คนที่นี่ก็จะเหน็บเสื้อกันหนาวมัดเอวกันไว้ในช่วงกลางวัน หนาวเมื่อไรก็เอามาใส่

ชาวเม็กซิกัน คือใคร?

ผู้คนในเม็กซิโกเป็นใคร? คนผิวขาวคอเคเซียน? ลาตินอเมริกา? ชนพื้นเมืองอินเดียนแดง? คนผิวดำ? คำตอบคือ ทุกอย่างครับ และที่พิเศษคือ อาจจะเป็นทุกอย่างในคนๆ เดียวกันก็ได้ด้วย

Rapper หนุ่ม ดวลเพลงกันที่จตุรัสหน้า Palacio del Bellas Artes มาเป็นตัวอย่างหน้าตาชาวเม็กซิกันหน่อยนะ

Latin rappers, Mexico City

กลุ่มคนหลักๆ ในเม็กซิโก แบ่งกว้างๆ ได้ตามนี้ครับ

1. Indigena

ก่อน 'ยุคการพิชิตของสเปน' ความหมายของคนเม็กซิกันคือ 'ชนพื้นเมือง' ที่นี่รวมๆ แล้วเรียกว่า Indigena (Indigenous ในภาษาอังกฤษ) พวกเขาคือชาวทวีปอเมริกาขนานแท้ดั้งเดิม ตั้งแต่กาลก่อน

ชาวตะวันตกบางคนก็เรียก อินเดียน คนไทยก็เรียกอินเดียนแดง เป็นชนชาติที่ผิวสีแดง จมูกใหญ่ รูปร่างเล็ก มีหลากหลายเผ่าพันธุ์

ผู้เขียนได้มีโอกาสใกล้ชิดชนพื้นเมืองอยู่บ้าง จะนำเสนอในตอนต่อๆ ไปนะครับ

สปอยล์ตอนถัดไป 55 อยากเอาภาพผู้คนมาลงให้ดูก่อนครับ

2. Mestizo

หลังยุคการพิชิตของสเปน สเปนได้เปลี่ยนโฉมหน้าของเม็กซิโกไปตลอดกาล Mestizo คือกลุ่มคนเลือดผสม ระหว่างคนยุโรปและชนพื้นเมือง ที่กลายมาเป็น 'คนเม็กซิกัน' กระแสหลักแทนชนพื้นเมืองไปอย่างถาวร

ในปัจจุบัน 3 ใน 4 คน ของพลเมืองในเม็กซิโกเป็น Mestizo

แต่เทรนด์เลือดผสมไม่ฮิตขนาดนั้นในเมืองห่างไกลบางพื้นที่ เช่น รัฐวาฮาก้า (Oaxaca) หรือ รัฐชิอาปาส (Chiapas) ที่ผู้คนไม่นิยมการแต่งงานกับชาวยุโรป อย่างเช่นในรัฐวาฮาก้า อัตราของชาวเลือดผสมจะอยู่ที่ 1 ต่อ 2 เท่านั้น

ความหลากหลายในแบบเม็กซิกัน

3. Criollo

คือสายเลือดคนยุโรปผิวขาวแท้ๆ ที่เกิดในเม็กซิโก ที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่หลังยุคการพิชิตของสเปน ไม่ว่าจะเป็นชาวสเปนหรือคนจากยุโรปประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาอยู่ในเม็กซิโก

4. Negros

เชื้อสายชาวแอฟริกันผิวดำ ผู้ตั้งรกรากกลุ่มสุดท้ายในเม็กซิโก ทาสผิวดำที่ถูกพาล่องเรือเข้ามาอยู่ในเม็กซิโกช่วง ศษวรรษที่ 17th-18th มาเป็นแรงงานในเหมือง กษิกรรมในพื้นที่ต่างๆ

ในปัจจุบันคนเชื้อสายแอฟริกันก็ย้ายมาอยู่กลุ่มเลือดผสม หรือ Mestizo แล้ว จากการแต่งงานกับชนพื้นเมืองหรือชาวยุโรป คนเม็กซิกันคนไหนที่ผิวเข้มสักหน่อย ก็คือคนที่มีเลือดของชาวแอฟริกันนั่นเอง

เนโกร ในภาษาสเปน แปลว่าดำ เรียกคนดำแบบนี้ ไม่ใช่การเหยียดผิวที่นี่ครับ

เท่าที่ผู้เขียนสังเกต แทบจะไม่เห็นคนผิวดำสายเลือดแท้ที่นี่แบบในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปเลย มีแต่เป็นสายเลือดผสมทั้งนั้น

นี่คือความหลากหลายของคนเม็กซิกันที่เกิดขึ้นจากลัทธิอณานิคม เทคโนโลยีการเดินสมุทรของชาวยุโรปใต้ และหนึ่งในมหกรรมการอพยพครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ใน DNA ของชาวเม็กซิกัน 1 คน จะมีทั้งสายเลือดคนผิวขาว ชนพื้นเมืองอเมริกาและแอฟริกัน ในคนๆ เดียว

จากภาพ จราจรสาว มีทั้งสาวผิวขาวหน้าตาแบบชาวยุโรป และสาวเลือดผสม Mestizo

จราจรสาว ในเม็กซิโกซิตี้

สกุลเงินและค่าครองชีพในเม็กซิโก

สกุลเงินของเม็กซิโกคือเปโซ (Peso)

1 เปโซ มีมูลค่าประมาณ 2 บาท

1 ดอลล่าห์สหรัฐ มีมูลค่าประมาณ 17-18 เปโซ

และช่างเป็นประเทศที่คำนวนค่าครองชีพเทียบกับไทยง่ายจริงๆ แทบจะทุกอย่างดูจะแพงกว่าไทยประมาณ 2 เท่า นั่นคือ มื้ออาหารริมถนนแบบประหยัด จะอยู่ที่ประมาณ 100-200 บาท ต่อมื้อ

ภาษา

ภาษาสเปนคือภาษาราชการ และใช้กันทั่วประเทศ มีภาษาพื้นเมืองอีกหลายภาษา แต่ชาวพื้นเมืองทุกคนก็พูด อ่าน เขียนภาษาสเปนได้ดี

ในโลกใบนี้ มีผู้ใช้ภาษาสเปนมากกว่าภาษาอังกฤษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาที่แทบทุกประเทศใช้ภาษาสเปน แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่ใช้ภาษาอังกฤษ ก็ยังใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าคนเม็กซิกันจะพูดอังกฤษกับเราได้เลยครับ

นักท่องเที่ยวต่างชาติในเม็กซิโกก็มาจากทวีปอเมริกาใต้และสเปนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นภาษาอังกฤษไม่มีความสำคัญมากนักที่ประเทศนี้

ธรรมเนียมทิป

เม็กซิโกมีธรรมเนียมการทิป เหมือนในอเมริกา อยู่ที่ประมาณ 15%

มาดูที่เม็กซิโกซิตี้กันต่อเลยนะครับ

MEXICO CITY

Zocalo de la Ciudad de Mexico เป็นจตุรัสหลักของเมืองเม็กซิโกซิตี้ ชื่ออย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ Plaza de la Constitucion

เต็มไปด้วยตึกรามในศิลปะสเปนอันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญมากมาย ที่เราจะพาไปดูในแต่ละที่ในลำดับต่อไป แต่จตุรัสนี้ไม่ได้เริ่มต้นใช้งานในยุคอณานิคมสเปนเท่านั้นนั้น ที่นี่เคยเป็นลานเฉลิมฉลองของเมืองโบราณที่ชื่อ Tenochtitlan

ก่อนจะมาเป็น Mexico City ภายใต้อณานิคมสเปน ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ Aztec ที่ชื่อเมือง Tenochtitlan ซึ่งก็คือเมืองที่ตั้งรับทำศึกสงครามกับอัศวินของจักรวรรดิ์สเปนนั่นเอง

หลังจากความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิ์ Aztec สเปนก็สร้างเมืองใหม่ทับโครงสร้างเดิมของเมือง Tenochtitlan และ Mexico City ก็จึงมีโฉมหน้าแบบที่เห็นในปัจจุบัน

(ส่วนเรื่องของ Tenochtitlan ก็ยังไม่จบนะ ขออุบไว้ก่อน)

นี่คือ Cathedral Metropolitana de la Ciudad de Mexico เป็นวิหารแห่งโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในท้องทวีปอเมริกาเลยทีเดียว สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1573 แสดงให้เห็นถึงศิลปะบารอกที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาอีกด้วย

เรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาแทบจะทันทีหลังจากการพิชิต Tenochtitlan โดยสเปนได้ทำลาย Templo Mayor อันเป็นวัดหลักของชาว Aztec และสร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นทับ ช่างน่าเศร้าแต่นี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น

อิ่มอาหารและทิวทัศน์แล้ว เข้าไปชมสถานที่ใกล้ๆ กันดีกว่า

ในเขต Centro Historico หรือ Historical Centre นี้ อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์หลายด้าน ก็อยู่รวมๆ กันในที่แห่งนี้นี่แหละ แต่เพื่อความเข้าใจง่าย ผู้เขียนจะพาเที่ยวชมโดยจะแบ่งเป็นตามนี้นะครับ

- ยุคของ Spaniard และ Colonization

- ยุคจักรวรรดิ์ของชนพื้นเมือง Mayan / Aztec

- ยุคปัจจุบันและการค้าของเม็กซิโกซิตี้

คนที่นี่ รองเท้าต้องเงาทุกคนนะครับ งานขัดรองเท้าจึงฮิต หาได้ทั่วมุมเมือง

ยุคของ Spaniard และ Colonization

คือเมืองเม็กซิโกซิตี้ ในยุคหลังการล่มสลายของจักรวรรดิ์ Aztec และเจ้าของเปลี่ยนมือมาเป็นจักรวรรดิ์สเปน และมันก็คือโฉมหน้าของเมืองนี้ในปัจจุบันด้วย

Cathedral Metropolitana de la Ciudad de Mexico

คนเม็กซิกันในปัจจุบันเอง ทั้งเชื้อสายยุโรปหรือชนพื้นเมือง ต่างก็เป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดกันทั้งนั้น

ชมด้านในกันสักหน่อย

ด้านในของโบสถ์ Cathedral Metropolitana de la Ciudad de Mexico ฟังเพลงและดนตรีเพราะๆ พร้อมฟังเทศภาษาสเปนกัน อิอิ

ไม่ได้ถ่ายรูปด้านในเยอะนักนะครับ เพราะเค้าห้ามถ่าย ถึงอย่างนั้น สวยได้ทัดเทียมโบสถ์สำคัญต่างๆ ในยุโรปเลยเชียว

ถนนสายโปรดของผู้เขียน สวยสง่า มีสีสัน มีผู้คน มีวิถีชีวิต มีเสียงเพลง มีประวัติศาสตร์ น่าประทับใจมาก และคงจะขออะไรจากการเดินทางมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ถ่ายรูปแบบชาวเม็กซิกันกันครับ Uno - Dos - Tres ---- เตกีล่าาา!! (เลียนแบบคนแถวนี้มา)

คนเยอะคึกคักคึกครื้น

มีเจ้าหน้าที่เยอะแยะครับ

ตำรวจ ทหารมีทุกจุดทั่วเมือง

ตะลุย Centro Historico

แดดแรงกล้าแบบนี้ แต่วันนี้ อากาศไม่เกิน 20 องศาเท่านั้น

ก่อนจะพาย้อนยุคไปสมัย Aztec มาดูประวัติกันก่อนนะครับ มาที่ Palacio Nacional หรือ National Palace

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เข้าฟรีครับ แต่ยังเป็นที่ทำการของหน่วยงานรัฐบาลอยู่ คุมเข้มความปลอดภัยก่อนเข้าอย่างดี มีแลกบัตร ฝากกระเป๋า ติดป้าย Visitor

เป็นกลุ่มอาคารที่มีหลายส่วน จุดเด่นคืออาคารนี้ อันเป็นตึก 3 ชั้น มีระเบียงที่มีภาพสีตามทางเดิน บอกเล่าความเป็นมาของประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ภาพสีจะอยู่บนระเบียงทางเดิน วาดโดยจิตรกรคนสำคัญ ชื่อ Diego Rivera

แสดงภาพเม็กซิโกในอดีตกาล วิธีชีวิตชนพื้นเมือง ชนเผ่าต่างๆ หรือที่เรียกกันว่าอินเดียนแดงนั่นแล

ความเป็นอยู่ อาชีพการงานของชาว Mayan

เมืองเติบโตจนถึงขั้นเป็นจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกากลาง คือจักรวรรดิ์ Aztec

การค้าในอดีต ว่าแต่ทำไมมีแขนมนุษย์ด้วยล่ะ

ภาพสีน้ำมันของ Diego Rivera บอกเล่าประวัติความเป็นมาของประเทศเม็กซิโก โดยมีหลายภาพรอบระเบียงอาคาร แต่ภาพผืนใหญ่ด้านล่างนี้เป็นภาพสำคัญที่เล่าเรื่องราวได้ครบอย่างต่อเนื่องมาก ตั้งแต่ยุคก่อนการยึดครองของสเปน แสดงวิถีชีวิตของชาวชนพื้นเมือง Mayan / Aztec สงครามระหว่างชนเผ่า การค้าระหว่างเผ่า มีภาพของเมืองและปิรามิดต่างๆ

ถัดๆ มาคือภาพการรุกรานของสเปน สงครามระหว่าง Aztec กับอัศวินในชุดเกราะเหล็ก

ต่อมาเป็นยุคหลังสเปนครอบครองพื้นที่นี้ เปลี่ยนเมืองเป็นคาทอลิค จับชนพื้นเมืองเป็นแรงงานทาส มีภาพการค้าทาส โดยนำทาสผิวดำมาจากแอฟริกา

จนมาถึงยุคร่วมสมัย ความขัดแย้งของลัทธิสังคมนิยม-ทุนนิยม และภาพสุดท้าย แสดงความหวังและอนาคตที่สดใสของประเทศ

เจตนาของ Diego Rivera คือการแสดงประวัติผ่านภาพวาดให้กับใครก็ตามที่อ่านหนังสือไม่ได้ ซึ่งเค้าทำได้ดีมาก เดินวนรอบระเบียง ไม่ต้องอ่านหนังสือสักตัวยังเข้าใจเรื่องราวได้เลยล่ะ

การรุกรานของสเปน สงครามระหว่าง Aztec กับอัศวินในชุดเกราะเหล็ก

หลังยุคการพิชิต

หลังยุคการพิชิตของสเปน การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ยุคร่วมสมัย ความขัดแย้งทางลัทธิการเมือง

อาคารอีกหลัง แสดงประวัติเบนิโต ฮัวเรซ (Benito Juarez) ประธานาธิบดีคนที่ 26 และเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของเม็กซิโก เป็นชาวเผ่า Zapotec ชนพื้นเมืองสายเลือดแท้ ที่มาจากครอบครัวยากจนในชนบทของรัฐวาฮาก้า

แสดงของเครื่องใช้ต่างๆ

ใน Palacio Nacional มีสวนกระบองเพชรจัดไว้สวยๆ ทุกสายพันธุ์เลยทีเดียว ไม่คิดว่ากระบองเพชรก็แต่งสวนได้

ยุคจักรวรรดิ์ของชนพื้นเมือง Mayan / Aztec

ทราบเรื่องราวคร่าวๆ ของเม็กซิโกกันแล้วว่าสเปนทำสงครามกับชาว Aztec ที่มีเมืองหลวงอยู่ตรงเม็กซิโกซิตี้นี่ล่ะ ก่อนที่สเปนจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาทับ Tenochtitlan เดิม

มาดูซากโบราณสถานที่หลงเหลือของเมือง Tenochtitlan กันครับ ไม่ต้องไปไหน อยู่ใจกลางเมืองนี่ล่ะ ปัจจุบัน ส่วนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ของเมือง Tenochtitlan อยู่ในพิพิธภัณฑ์ชื่อ Templo Mayor

ปิรามิดของ Tenochtitlan ราบคาบไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือยังคงยืนหยัดต่อกรกับความเป็นสเปนของบริเวณโดยรอบ

แม้จะโดนทำลายและรื้อเมืองทิ้ง แต่ก็ยังหลงเหลือไว้บ้างให้คนเม็กซิกันได้รับรู้ความเป็นมาของชนชาติตัวเอง

ส่วนของโบราณวัตถุจะเก็บไว้ด้านในอาคาร ในส่วนกลางแจ้งก็จะมีปิรามิดเล็กๆ เท่าที่ยังเหลืออยู่และงานแกะสลัก

ผังเมืองจำลอง

ไม่ได้มีซากเมือง Tenochtitlan ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้นนะครับ บางส่วนก็จัดแสดงปะปนกันอยู่ในเมืองนี้

ในภาพคือทางเดินปกตินี่ล่ะ ที่เจาะถนนและทำกระจกครอบให้เห็นโครงสร้างของเมืองเก่า Tenochtitlan ที่จมอยู่ใต้เมืองปัจจุบัน

ยุคปัจจุบันและการค้าของเม็กซิโกซิตี้

โฉมปัจจุบันของเมืองเม็กซิโกซิตี้เองก็มีบุคลิกเหมือนชาวเม็กซิกันนี่แหละ คือส่วนผสมอเมริกาและยุโรป จนออกมาเป็นตัวตนใหม่ที่มีเอกลักษณ์

งานกระเบื้องสี แบบชาวสเปน-โปรตุเกส

งานกระเบื้องสี แบบชาวสเปน-โปรตุเกส

คนเม็กซิโกซิตี้มีวิถีชีวิตคล้ายคนยุโรปมาก ทั้งบุคลิก แนวคิด ทัศนคติ ความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นส่วนตัวสูง และชอบร้าน outdoor เหมือนกัน

ย่านช็อปปิ้ง ร้านค้าเยอะ ช้อปสนุกไม่แพ้ที่ไหนเลย

ถนนหิน-อิฐ เหมือนกับสเปน

คนเม็กซิโกซิตี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนเชื้อสายยุโรปหรือลูกผสมที่ค่อนข้างยุโรปเยอะกว่าความเป็นคนพื้นเมือง

คนผมสีทอง ตาสีอ่อนและตัวสูงมีเยอะ

ยามเย็น ช่วงเลิกงาน

ถนนช้อปปิ้งและของกินยามเย็น

อาคารกระเบื้องสีสวยๆ มีให้เห็นทั่วไป

เม็กซิโกซิตี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์ มี Museum มีเยอะมากๆๆ เท่าที่ผู้เขียนเห็น บางบล๊อกถนนยังมีถึง 5 Museum ได้เลยล่ะ

ขายเร่ก็มี ต้องวิ่งหนีเทศกิจเป็นระยะๆ

พามาดูตลาดท้องถิ่นกันบ้าง เม็กซิโกเป็นประเทศฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตก ที่บารมีจีนเข้าไม่ถึง สินค้าราคาถูกมีเยอะแยะ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า อุปกรณ์การช่าง อิเลคโทรนิค สารพัดสิ่ง

และการค้าแบบท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องขาดแคลนเลย ใครชอบสีสันของตลาด ตามมาดูกันเลยครับ

Tacos อาหารประจำชาติแบบเรียบง่ายริมถนน แต่ละร้านก็มีสูตรของตัวเอง ทานกี่ร้านก็ไม่ซ้ำรสชาติเลย

แต่งคิ้ว

Mexican Folk song

ความเชื่อดั้งเดิมของชนพื้นเมือง ปะปนอยู่กับความเป็นคาทอลิก

บรื๋อๆๆ

พบเจอได้ทุกมุมเมือง

เสื้อสำหรับเด็ก คอเต่า แต่แหวกข้างทั้งตัว ตกลงจะกันหนาวได้มั้ย?

คนเม็กซิกันภาคภูมิในรากเหง้า ภาพวาดชนพื้นเมืองมีเยอะทั่วประเทศ

จตุรัสเล็กๆ ในตลาด

คุณน้าชาวเผ่า

มาส์กทองคำ??

หนุ่มน้อยผู้โดนจับ ทำอะไรมาหรอ?

พระเยซูก็มา

Tacos ร้านดัง ต่อคิวซื้อกันยาวเหยียด

คุณพี่ชนเผ่า ในชุดลูกไม้สวยๆ

Palacio del Bellas Artes

Palacio del Bellas Artes

ใกล้ๆ กับ Palacio del Bellas Artes มีสวนสาธารณะใหญ่ ร่มรื่น อยู่เมืองใหญ่ ได้เห็นต้นไม้บ้างก็แจ่มใสขึ้น คนมาพักผ่อนกันเยอะ

รอดักหาที่นั่ง แต่เต็มแทบตลอดเวลา

พระอาทิตย์ตกเวลา 2 ทุ่ม ฟ้าสว่างตอนหัวค่ำนี่รู้สึกดีไม่เบา

ซ้อมสวนสนาม

CDMX คือชื่อย่อของ Ciudad de Mexico

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับเมืองเม็กซิโกซิตี้

รอติดตามตอนต่อไปกันนะครับ มีอีกหลายเมือง ทั้งเมืองแห่งปิรามิดยักษ์ของชาวมายัน เมืองที่สเป๊นสเปนยิ่งกว่านี้ เมืองของอินเดียนแดง และเมืองแห่งดนตรี กวี เรื่องเล่าขาน ที่สุดแสนจะโรแมนติกสมชื่อหัวข้อ อันเป็นจุดพีคของการเดินทางในเม็กซิโกของผู้เขียนเอง

Adios!

תגובות


Writters

เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยผู้บริหาร Signature Travel Asia