top of page

ทุกเรื่องราวของการท่องเที่ยว

โดย Signature Travel Asia

Review ทริปประทับใจ

แนะนำทัวร์น่าสนใจ

ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว

แนะนำโปรโมชั่น

เม็กซิโกโรแมนติก: ตอนที่ 3 เมือง Oaxaca และที่ราบสูงภาคกลาง


ดินแดนแห่งความสนุกสนานกับเทศกาลไม่รู้จบ ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของ 16 เผ่าชนพื้นเมืองแห่งดินแดน Meso-America เที่ยวตลาดชนเผ่า ชมอาคารหินภูเขาไฟสีสดใสและผู้คนที่อบอุ่นเป็นมิตรและสดใสยิ่งกว่า

จากเมืองหลวง Mexico City เราเดินทางไป Oaxaca โดยรถบัส ต้องนั่งรถหูอื้อบน Highway สาย Mexico City-Puebla de Zaragoza เป็นไฮเวย์สูง 3,000 เมตร+ ระหว่างทางจะผ่านแนวภูเขาหิมะขนาดยักษ์ที่สูงขึ้นไปอีก บริเวณนี้คือ Mexican volcanic Belt ซึ่งจะมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับอยู่ 3 ลูกใหญ่

ลูกแรก จริงๆ เป็นเทือกภูเขาไฟมี 4 ยอด ชื่อ Iztacihuatl สูง 5,200 เมตร เป็นภาษา Nahuatl แปลว่าผู้หญิงสีขาว ตามลักษณ์ที่มองแล้วเหมือนผู้หญิง และสีขาวคือหิมะ

ลูกที่สอง ชื่อ Popocatepetl 5,400 เมตร เป็นภาษา Nahutl เหมือนกัน แปลว่าภูเขาที่มีควัน และเป็นภูเขาหิมะที่มีธารน้ำแข็งด้วย

ลูกนี้ดุร้าย ระเบิดบ่อยมาก ตั้งแต่ปี 2012 มาก็ระเบิดปีละ 1-2 ครั้งทุกปี ครั้งรองสุดท้ายก็เมษายน 2016 และครั้งล่าสุดหลังจากผู้เขียนกลับมาแล้ว เดือนกรกฎาคม 2017 นี้เอง

Highway สวย วิวหิมะสวย แต่ไม่มีภาพถ่ายนะครับ รถไม่จอดแถวนี้เลย

หลังจาก 7 ชั่วโมงบนรถบัส ผ่านภูเขาสูง ผ่านทะเลทราย และผ่านภูเขาอีกรอบ ผู้เขียนก็มาถึงเมือง Oaxaca

Oaxaca อ่านว่า วาฮาก้า ไม่ได้มาจากภาษาสเปน แต่มาจากภาษาชนพื้นเมือง

รัฐชื่อวาฮาก้า และเมืองหลวงรัฐก็ชื่อวาฮาก้า อยู่บนที่ราบสูงภาคกลางของเม็กซิโก ทางใต้ติดกับ Chiapas ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายก่อนถึงประเทศกัวเตมาลา บางส่วนของรัฐวาฮาก้าก็มีพื้นที่ติดทะเลฝั่งแปซิฟิก

เป็นเมืองแห่ง 16 ชนเผ่าพื้นเมือง ที่ยังเก็บรักษาวัฒนธรรมชนพื้นเมืองดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม และเมืองนี้ก็ยังมีส่วนผสมของวัฒนธรรมสเปนอยู่บ้าง

อาหารวาฮาก้าต่างจากอาหารเม็กซิกัน และสเปน เมืองก็ต่างไปจากเม็กซิโกซิตี้มาก จะเต็มไปด้วยตึกเตี้ย สีสันฉูดฉาด นิยมสร้างจากหินภูเขาไฟสีเขียว

ตามมาชมวาฮาก้ากันต่อครับ

แม้แต่คนที่เม็กซิโกซิตี้ไม่คุ้นเคยกับคนเอเชียมากนัก ผู้คนที่วาฮาก้าก็ยิ่งแล้วใหญ่ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ยังไม่เจอนักท่องเที่ยวเอเชียสักราย

เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะโดนจับจ้องอย่างหนักมาก บางคนขับรถ ยังถึงกับจอดชะโงกหน้ามาดูหน้าตาของเรา บางคนเดินผ่านกัน ก็ตกใจตาโต

ออกไปนอกเมืองหลวงรัฐแล้ว ยิ่งหนักเข้าไปอีกขั้นเลยครับ

กลายเป็นของเล่นเด็กไปซะแล้ว

ตามประสาเม็กซิโก ทุกอย่างคือศิลปะ Art Galleries จำนวนนับไม่ถ้วนมีอยู่ทุกแห่งในเมือง

หนึ่งในสถานที่เที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ก็คือห้องสมุด ที่นี่ล่ะครับ

ห้องสมุดสาธารณะของเมืองวาฮาก้า ประดับห้องต่างๆ ด้วยผ้าท้องถิ่นสวยๆ ทั้งชั้นล่าง ชั้นบน อยู่ในตัวอาคารแบบเม็กซิกันหลังใหญ่

ผ้าพวกนี้ เป็นขนแกะหนาเตอะ มีลายผ้าที่ละเอียดมาก

ตัวห้องสมุดเองก็ยังมีบอร์ดความรู้และนิทรรศการให้อ่าน มีงานศิลปะให้ดู ที่นี่มีนักศึกษามาทำงาน ค้นคว้ากันเยอะ

นอกจากห้องสมุดจะมีบรรณารักษ์แล้วยังมีตำรวจเฝ้าห้องสมุดอีกด้วย ตรวจเข้มก่อนเข้าซะด้วย

เดี๋ยวพาไปดูแหล่งทอผ้าและพรมขนแกะกันอีกทีครับ

เดินเล่นชมเมืองกันครับ เป็นเมืองที่สีสันแจ่มใสมาก

ตัวอย่างหินภูเขาไฟสีเขียวที่ใช้ทำอาคาร อย่างเช่น ขอบประตูบ้านทางซ้าย

อย่างที่ผู้เขียนเคยพูดถึงในเม็กซิโกโรแมนติก ตอนที่ 1 Mestizo หมายถึง คนเลือดผสม ระหว่างคนยุโรปและชนพื้นเมือง ที่เริ่มต้นหลังยุคการพิชิตของสเปน ที่ Mestizo กลายมาเป็น 'คนเม็กซิกัน' กระแสหลักแทนชนพื้นเมืองไปอย่างถาวร ซึ่งในปัจจุบัน 3 ใน 4 คน ของพลเมืองในเม็กซิโกเป็น Mestizo

แต่อัตราส่วนนี้ ไม่ใช่ที่รัฐวาฮาก้า ผู้คนที่นี่ไม่นิยมการแต่งงานกับชาวยุโรป อัตราของชาวเลือดผสมจะอยู่ที่ 1 ต่อ 2 เท่านั้น

ชาววาฮาก้า ประมาณครึ่งหนึ่ง เป็นชนพื้นเมืองสายเลือดแท้ หรือชาวเลือดผสมที่มีความเป็นคนยุโรปน้อย วัฒนธรรมชนพื้นเมืองแห่ง Meso-America ตั้งแต่ยุคก่อนการพิชิต ยังคงเข้มข้นมากในที่รัฐนี้

ถ้าต้องการพบปะกระทบไหล่กับชนเผ่าต่างๆ ในชุดสีสันฉูดฉาด มาที่เมืองนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน

คุณยาย มาช้อป เติมชุดใหม่เข้าตู้เสื้อผ้า

สไตล์ร้านอาหาร outdoor แบบยุโรป ก็นิยมเช่นกัน

ร้านอาหารที่อยู่บริเวณรอบๆ Zocalo

อาหารวาฮาก้า

ชมครัว อาหารวาฮาก้า เผาพริกเผาเกลือ :)

ผู้เขียนพบเจองานแต่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่เมืองนี้ โดยเฉพาะตามโบสถ์ต่างๆ ซึ่งมีเยอะทั่วทั้งเมืองก็จัดงานแต่งกันแทบตลอดเวลา

สาววาฮาก้า

นี่ก็อีกหนึ่งงาน

และนี่ก็อีกหนึ่งงาน

โบสถ์ Templo de Santo Domingo และเป็นบริเวณของจตุรัสสำคัญแห่งหนึ่งของเมือง

จตุรัสหน้า Templo de Santo Domingo แค่นั่งเล่น ชมผู้คนก็สนุกมากครับ

บริเวณรอบๆ Templo de Santo Domingo

โบสถ์อีกแห่ง Basílica de Nuestra Señora de la Soledad หรือ Basilica of Our Lady of Solitude

Basílica de Nuestra Señora de la Soledad หรือ Basilica of Our Lady of Solitude

คุณยายอินเดียน ช้อปปิ้งที่ Basílica de Nuestra Señora de la Soledad

ของต้องมาเป็นคู่ โบสถ์และจตุรัส ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นทั้งสถานที่ทางศาสนา ที่พักผ่อนหย่อนใจ พบปะพูดคุย

หรือจะมาซ้อมเต้น :)

หรือจะมาทานอาหารก็ได้

เมืองวาฮาก้ามีบริการรถรางชมเมือง แบบเสียเงินนะครับ ประมาณ 140 บาท

รถจะพาชมส่วนที่สำคัญของย่านเมืองเก่า Centro Historico และชานเมือง พร้อมบรรยายประวัติของอาคาร และความเป็นมาต่างๆ เปิดสลับกับเพลงเม็กซิกันโฟล์คเพราะๆ เพลินเพลินมากๆ

ทั้งนี้ บรรยายภาษาสเปนนะครับ

รถพาเราออกมานอกเขต Centro Historico

ชานเมืองวาฮาก้า

บรรยากาศกันเอง ผู้คนเป็นมิตร ทำให้ดูเหมือนจะเป็นเมืองเล็ก แต่ไม่ใช่เลยครับ วาฮาก้าเป็นเมืองในแอ่งกระทะในหุบเขาที่ใหญ่โตพอสมควรเลย ดูที่ภูเขาในฉากหลัง บ้านเรือนคนไล่ขึ้นไปตลอดแนวหุบเขาครับ

อนุสาวรีย์แห่งชนเผ่า มีรูปปั้นพร้อมบรรยายชื่อเผ่าครบทุกเผ่าในวาฮาก้า

สองเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดคือ Zapotec และ Mixtec แต่ก็มีอีกมากมายหลายเผ่าครับ

เรียนรู้กันจากรูปปั้นนี่ล่ะครับ :)

งานศิลปะที่เกี่ยวกับชนพื้นเมืองมีเยอะ ทั้งงานสตรีทและงานจริงจังตามแกลลอรี่ สะท้อนความภาคภูมิของชนพื้นเมือง

รถรางก็พาเราจนมาสุดขอบเมืองทางตอนเหนือ เวลาในภาพนี้ ประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง ฟ้ายังแจ่มใสอยู่

Native Market : ตลาดชนเผ่า

มีตลาดของชนพื้นเมืองหลายที่ แต่จะเปิดอาทิตย์ละครั้ง หมุนเวียนไปในแต่ละเมืองและหมู่บ้านต่างๆ รอบตัวเมืองวาฮาก้า สอบถามกับโรงแรมดูเอาได้ว่าวันไหนมีตลาดที่ไหน

วันที่ผู้เขียนไปเที่ยวตลาดตรงกับวันเสาร์ เป็นคิวของตลาด Abastos ซึ่งอยู่ใกล้ Downtown ของเมืองวาฮาก้า เราเดินไปจากดาวน์ทาวน์ได้เลย เดินได้แต่แบบเหนื่อยนิดๆ

ที่ตลาดเต็มไปด้วยคุณป้าชุดถักลายดอกไม้ สีสันจู๊ด Abastos เป็นตลาดใหญ่และจอแจมาก รถเมรถบัสรถตู้รถบรรทุกจากหมู่บ้านต่างๆ นอกเมืองจะวิ่งมาจอดที่ตลาดนี้กัน คนท้องถิ่นขนของมาขาย หรือขนกลับไปหมู่บ้าน

ที่นี่เป็นมากกว่าการค้าและการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างหมู่บ้าน แต่เป็นช่องทางการพูดคุย สนทนา เม้ามอย และการหาคู่ด้วย

คนจากชนบทมากันเยอะ ทำเอารถติดมาก

เจ้าหน้าที่คุมเข้ม

กำแพงหินภูเขาไฟสีเขียว

บ้าน อาคาร โบสถ์ที่นี่มักสร้างจากหินภูเขาไฟสีเขียว และนิยมโชว์กันอย่างภาคภูมิด้วยการกระเทาะสีเปลือกนอกให้เห็นหินเขียว

โรงแรมของผู้เขียนก็เป็นอาคารแบบนี้ กำแพงหนามากๆ หนาจน 4G หรือแม้แต่ไวไฟหายเลยถ้าอยู่ในห้องนอน

ชนพื้นเมืองวาฮาก้า จำนวนมากเป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิสนิสต์ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นฐานเสียงสำคัญที่สุดของพรรค

เป็นร้านรถเข็นขายข้าวโพดธรรมดาที่คิวยาวอย่างไม่น่าเชื่อ คิวยาวไปนอกกรอบนี้ไกลเลยเชียวครับ

ไม่มีค่ำคืนน่าเบื่อในเม็กซิโก

ช่วงเย็น-ค่ำ ตามจตุรัสต่างๆ จะเต็มไปด้วยผู้คน ดนตรีเม็กซิกันโฟล์ค เต้นรำ และทุกคนเป็นที่ต้อนรับเสมอ ทั้งคนเมือง คนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวลาตินทั้งหลายก็ดูจะสนุกกับการเต้นรำกันมาก

บรรยากาศนี้คือส่วนที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดของเม็กซิโก เป็นเมืองแห่งความสุขจริงๆ

ผู้เขียนเต้นลาตินกับเค้าไม่ได้ และรำวงก็ไม่เป็น เลยไม่มีโอกาสเผยแพร่วัฒนธรรมไทยครับ :)

ภาพนี้ จากจตุรัส Zocalo คืนแรกในวาฮาก้า : ถึงจะชอบบรรยากาศความสนุกแบบนี้ แต่นี่ก็มีทุกเมืองในเม็กซิโก ยังไม่ใช่จุดประสงค์ที่ผู้เขียนมาวาฮาก้าซะทีเดียว เนื่องจากตั้งใจมาพบกับเทศกาลของชนพื้นเมืองโดยเฉพาะ

อยู่มาหลายวันก็ยังไม่เจอเทศกาลใดๆ นอกจากงานแต่ง งานการเต้นรำแบบเม็กซิกันทั่วไป

จนกระทั่งในคืนสุดท้ายที่วาฮาก้า ที่ Zocalo แห่งเดิม แต่คนเยอะกว่าเดิม เสียงดนตรีแปลกหูกว่าเดิม และฉูดฉาดกว่าเดิมมากๆ

เรียกได้ว่าเป็นวันที่ Colorful ที่สุดในชีวิตผู้เขียนทีเดียว 55

ดูเหมือนจะจริง ที่ว่าไม่มีใครมาวาฮาก้าแล้วโชคร้ายเกินกว่าจะพลาดเทศกาลของชนพื้นเมืองที่นี่ได้

16 เผ่าที่อยู่รอบวาฮาก้า มีช่วงเวลาของเทศกาลที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด 1 อาทิตย์ ก็จะต้องมีสักงานล่ะ และทุกเผ่าก็ชอบการเฉลิมฉลองและการเต้นมาก มีทั้งวันฉลองดาวนั้น ดาวนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ฉลองเก็บเกี่ยว อะไรสารพัดจะฉลอง

แค่ต้องไปให้ถูกที่ถูกเวลาสักหน่อย เพราะเมืองนี้มีหลายจตุรัสเมือง

ผู้เขียนไม่ทราบว่างานของชาวเผ่าไหน หมู่บ้านไหนและงานอะไร แต่ดูเค้ามากันกลุ่มใหญ่ เต้นรำ แจกของรางวัล ถ่ายรูปเล่น และแห่อะไรสักอย่างอยู่ที่จตุรัส Zocalo

งานดูสนุก และคนเยอะ

สนุกกันใหญ่เลย

มีคนลืมเอาชุดมาแน่ๆ

หมุนติ้ว

เค้าถ่ายภาพหมู่กัน ผู้เขียนก็ไปขอถ่ายด้วย

ต้องรอจนคืนสุดท้ายเชียว กว่าจะได้เจอเทศกาลกับเค้า นับว่ายังโชคดี

จบเรื่องของวาฮาก้า แค่ในส่วนของตัวเมืองหลวงรัฐนะครับ แต่รอบนอกแล้ว มีอะไรอีกมากมายเหลือเกิน ไม่อาจมีเวลาเที่ยวได้หมดทั้งรัฐ ผู้เขียนจะพาไปชมเมืองสำคัญอื่นๆ รอบนอกวาฮาก้าต่อนะครับ

เดินทางออกนอกตัวเมืองวาฮาก้า

บรรยากาศถนนหนทางในรัฐวาฮาก้า ทะเลทราย กระบองเพชร ภูเขา และ ทะเลทราย กระบองเพชร ภูเขา และวนไปแบบนี้เรื่อยๆ :)

ระหว่างทาง เจอตุ๊กตาตัวใหญ่ ตั้งอยู่หน้าบ้าน ที่เมือง Santa Maria Del Tule

เขตชนบทแห่งหนึ่ง ห่างจากเมืองวาฮาก้าประมาณ 1 ชั่วโมง เปิดบ้านชาวซาโปเทค (Zapotec) ชนชาติหลักของรัฐวาฮาก้า ภาพวาดผนังแสดงความทรนงในชาติพันธุ์

ชาวซาโปเทค มีประชากรประมาณ 4 แสนคน มีภาษาเป็นของตัวเองนอกจากภาษาสเปน อาศัยอยู่ในตอนกลางของรัฐวาฮาก้า

อดีตประธานาธิบดีของเม็กซิโก 'เบนิโต ฮัวเรซ' ก็เป็นชาวซาโปเทคเลือดแท้คนหนึ่ง

ซาโปเทค หมายถึง 'คนแห่งเมฆ' มีความเชื่อในการบูชา 'เทพแห่งฝน' 'เทพแห่งสายฟ้า'

สัตว์แห่งโชคดีคือ Road Runner สัตว์อัปมงคลคือ นกฮูก

ถึงจะชื่อเป็นคนแห่งเมฆ แต่ชาวซาโปเทคมีทั้งที่อยู่ใน Lowland และ Highland เพราะฉะนั้น จะนิยมทำผ้าตามภูมิอากาศตัวเอง

เราไปในพื้นที่ Highland อากาศหนาวเย็นกลางหุบเขา หมู่บ้านนี้จึงนิยมทำพรมขนแกะกัน หนา แน่น หนัก สวยมากๆ คุณภาพดีมากๆ ทอเป็นลายพื้นเมือง

โฉมหน้าสาวน้อยแห่งเมฆา กับพรมขนแกะ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนอกเมืองวาฮาก้ามาประมาณ 1 ชม.

ด้วยความที่ผู้เขียนและเพื่อนหน้าตาแปลกสำหรับเค้า น้องเค้าจึงตามมาดูตลอด

เค้าก็แสดงวิธีการทำ การปั่นขนแกะ การผสมสี และขายพรมนี่ล่ะ ถึงจะชอบก็ไม่ได้ง่ายเลยที่จะแบกหนักๆ ไปตลอดทริปได้ จำใจไม่ซื้อ

ผู้เขียนกำลังเดินทางต่อไปที่เมือง Mitla อีกหนึ่งเมืองในรัฐวาฮาก้า อันมีซากปรักสำคัญแห่งหนึ่ง

Villa de Mitla : ซากปรักเมืองของชาว Aztec อันเป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคก่อนการพิชิตของสเปน เคยมีประชากรในเมืองนี้ประมาณ 10,000 คน ชื่อเดิมของเมืองนี้คือ Mictlán เป็นภาษาชาว Nahualt

โดยสเปนยึดเมืองหลวงของชาว Aztec (Teotitlan) ได้ก่อน เมืองนี้ยังคงอยู่ต่อมาระยะนึง ก่อนที่ชาวสเปนจะมายึดครองเมือง

สเปนทำลายเมืองนี้ลงในภายหลัง และสร้างโบสถ์คาทอลิกคร่อมทับปิรามิด และ 1 ใน 4 ของเมืองไปแล้ว

ยังเหลืออีก 3 ส่วนให้เห็นเป็นซากปรักในสภาพที่ค่อนข้างดี

ลานกิจกรรมประจำเมือง ใช้สำหรับเต้นรำ ประชุม และสารพัดประโยชน์

Villa de Mitla : อาคารนี้คือพระราชวัง

Villa de Mitla

วันนี้ผู้เขียนมีไกด์บรรยาย

บรรยายถึงการก่อสร้างและรูปแบบศิลปะ Aztec

ศิลปะของ Aztec ที่ยังคงเป็นลายประจำศิลปะเม็กซิกันถึงทุกวันนี้

ในห้องต่างๆ

ดูลายหินและการวางหินกันชัดๆ

ภายในปิรามิด

ต้องผลัดกันมุดเข้าไปทีละคน

ใต้ปิรามิด

บางห้องมีไฟให้

บางห้องก็มืดตื๋อ

ห้องต่างๆ ลายหินละเอียดยิบ

ลานกิจกรรมประจำเมือง

ไม่ได้มีซากปรักแห่งเดียวนะครับ แต่เป็น Complex มีหลายอาคาร

เดินรอบๆ เมืองเก่า

อย่าเหยียบกระบองเพชรล่ะครับ เยอะแยะไปหมด

ส่วนนี่คือโบสถ์ที่สเปนสร้างทับเมืองเก่า

โบสถ์นี้ยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เป็นโบสถ์เล็กๆ แต่ก็เห็นมีคนเพื้นเมืองเข้ามาเรื่อยๆ

กำแพงทำจากกระบองเพชร

เมืองใหม่ Mitla เมืองเล็กๆ สดใสๆ

เดินทางต่อ จากเมือง Mitla จะไปที่ไหนตามมาดูกันครับ

ผ่านเมือง San Lorenzo Albarradas ผ่านหมู่บ้านอินเดียนแดง ขึ้นเขาลูกรังมา

เปลี่ยนเป็นทางลูกรัง

แปปๆ ขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว

เดินเท้าต่ออีกสักนิด ไม่ไกลเท่าไร

เดินชมภูเขา ดูกระบองเพชรเล่นๆ ก็เพลินดีครับ

มาถึงแล้วที่ Hierve El Agua

Hierve El Agua

บ่อน้ำธรรมชาติ ริมขอบหน้าผาสูง เล่นน้ำสีเขียวสดชื่น พร้อมชมวิวหน้าผาหินกว้างสุดสายตา

Hierve El Agua

อากาศก็ค่อนข้างเย็น และ Hierve El Agua ก็ไม่ใช่น้ำอุ่นนะครับ เลยไม่ทำให้ผู้เขียนอยากเล่นเท่าไร มาชมวิวแปลกๆ ก็พอ

แต่คนอื่นเค้าเล่นกันทุกคนเลย

แต่พวกเราเตรียมอาหารปิกนิคแทนครับ

ตรงทางเข้ามีร้านอาหาร เครื่องดื่มอยู่บ้าน ซื้อเบียร์มานั่งดื่มชิลๆ

มีน้ำตกด้วย

Hierve El Agua ไม่ใช่ที่สุดอลังการอะไร แต่แปลกหูแปลกตาและสนุกไม่เบา

ค่ำๆ เดินทางกลับเมืองวาฮาก้า

ทิ้งท้ายตอนนี้ด้วย Street food ทาโก้ยามดึกที่วาฮาก้า